[เส้นทางตัวอย่างเที่ยว 1 วันที่ย่านอุเมดะในโอซาก้า] ตั้งแต่ขนมหวานยอดนิยมไปจนถึงช็อปปิง! ทริปตระเวนชมเรื่องราวของแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

2025.09.01

อุเมดะในโอซาก้า ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งช็อปปิงและอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับ “ทริปที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ที่เต็มไปด้วยความใส่ใจสิ่งแวดล้อม และในย่านที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งนี้เป็นที่ตั้งของแบรนด์มากมายที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมในหลากหลายแง่มุมในชีวิตประจำวัน ครั้งนี้เราได้ฟังเรื่องราวจริงๆ จากผู้รับผิดชอบของ 5 แบรนด์ในย่านอุเมดะดังกล่าว พร้อมสัมภาษณ์เรื่องราวของความตั้งใจแน่วแน่และเปี่ยมไปด้วยแนวคิด และหวังว่าคุณจะได้ลองไปสัมผัส 1 วันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและการเรียนรู้นี้

เพลิดเพลินกับการเดินเล่นยามเช้าที่ “สวนอุเมคิตะ”!

เริ่มต้น 1 วันที่อุเมดะในโอซาก้าด้วยการเดินเล่นยามเช้าที่ “สวนอุเมคิตะ” โดยสวนอันเขียวชอุ่มที่เชื่อมกับทางออกใต้ดินอุเมคิตะของสถานี JR โอซาก้า และตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่พัฒนาใหม่อย่าง “GRAND GREEN OSAKA” แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ทรงคุณค่าที่คุณจะได้สัมผัสกับธรรมชาติในเมือง

สวนอุเมคิตะเป็นสวนในเมืองขนาดประมาณ 45,000 ตารางเมตร เปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2024 บนพื้นที่เดิมของสถานีขนส่งสินค้าอุเมดะ และแม้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเชื่อมกับสถานีรถไฟ JR โอซาก้า แต่สวนแห่งนี้ก็ได้รับการฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีเขียวแทนที่จะเป็นอาคารสูงระฟ้าซึ่งชาวเมืองสามารถใช้เวลาอย่างอิสระด้วยไอเดียที่รอบคอบโดยคำนึงถึงอนาคตของเมือง

คุณโอมาตะผู้มีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาและปัจจุบันรับหน้าที่ดูแลการจัดการสวนได้มองย้อนกลับไปถึงโครงการนี้ว่า “ในการพัฒนาเมืองแบบทั่วไปจนถึงปัจจุบันมักจะสร้างอาคารไว้ตรงกลางพร้อมพื้นที่สีเขียวอยู่ภายนอก แต่เพื่อแก้ประเด็นปัญหาการขาดแคลนพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง เราจึงร่วมมือกับเมืองโอซาก้าและองค์กรเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาเมืองโดยยึดหลักแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในการสร้างสวนไว้ใจกลางเมืองครับ”

สวนแห่งนี้มีสนามหญ้าเขียวชอุ่มตลอดปีกว้างขวางและ “สวนสีสันสดใส” ที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลทั้งสี่ ภายในสวนมีพืชพรรณกว่า 320 สายพันธุ์ซึ่งเน้นพันธุ์พื้นเมืองของคันไซ ให้คุณได้สัมผัสความงามของธรรมชาติในญี่ปุ่นได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ สวนแห่งนี้ยังมุ่งมั่นที่จะใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำน้ำฝนที่เก็บรวบรวมไว้ในถังเก็บน้ำฝนที่ติดตั้งใต้ดินมาใช้ในการรดน้ำต้นไม้

คุณนิชิโอะกล่าวว่า “ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก ดังนั้นการนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ในลักษณะนี้จึงไม่เพียงแต่ช่วยลดการใช้น้ำประปาเท่านั้น แต่ยังช่วยลดภาระในการบำรุงรักษาพื้นที่สีเขียวอีกด้วย”

นอกจากการเดินเล่นแล้ว ภายในสวนแห่งนี้ยังสร้างระบบที่ส่งเสริมกิจกรรมที่หลากหลาย โดยหนึ่งในนั้นคือสถานีวิ่ง “RUN&WALK One to Step” ซึ่งเป็นฐานที่มั่นในการทำกิจกรรมของนักวิ่งและเปิดโอกาสให้ได้เพลิดเพลินกับการวิ่งไปยังแม่น้ำโยโดะและนากาโนชิมะที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากนี้บนชั้น 3 และ 4 อาคารทิศใต้ของ GRAND GREEN OSAKA ยังมี “Umekita Onsen Ren Wellbeing Park” ซึ่งรวบรวมออนเซ็น ซาวน่าหิน ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย

และกล่าวต่อว่า “เราจะรู้สึกยินดีมากถ้าคุณไม่ใช่เพียงแค่เพลิดเพลินไปกับอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของโอซาก้า แต่ได้สัมผัสเสน่ห์ของสวนอุเมคิตะและ GRAND GREEN OSAKA อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านประสบการณ์ที่หลากหลายนี้”

สุดท้ายนี้เป็นความปรารถนาของคุณนิชิโอะว่า “เราห้ามสูบบุหรี่ที่นอกอาคารรวมถึงในสวนตามข้อบังคับ จึงขอให้ปฏิบัติตามกฎของแต่ละสถานที่ทั้งที่เกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ และเนื่องจากไม่มีถังขยะในสวน จึงโปรดนำขยะกลับไปทิ้ง และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่สวยงามร่วมกัน!”

“สวนอุเมคิตะ” ที่ธรรมชาติและกิจกรรมหลากหลายมาบรรจบกันแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สวนอีกต่อไป เราจึงขอเชิญให้คุณลองแวะมาที่นี่เพื่อสัมผัสประสบการณ์การใช้เวลาร่วมกับธรรมชาติภายในเมือง

คุณมิกิ นิชิโอะและคุณไทกุน โอมาตะจาก Umekita MMO (MIDORI Management Organization)

◎บทความที่เกี่ยวข้อง : [สถานที่ถ่ายรูปแห่งใหม่ล่าสุดของโอซาก้าในปี 2025] “GRAND GREEN OSAKA SHOPS & RESTAURANTS” โอเอซิสที่เปิดทำการใจกลางย่านอุเมดะ」

อิ่มอร่อยและอุ่นใจในมื้อกลางวันที่ “Café&Meal MUJI”!

หลังจากสนุกกับการเดินเล่นยามเช้าแล้ว เราก็ไปทานอาหารกลางวันกันที่ “Café&Meal MUJI” ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 4 อาคารทิศเหนือของ GRAND FRONT OSAKA SHOPS & RESTAURANTS โดยที่นี่จะให้ความสำคัญกับวัตถุดิบและใส่ใจในทุกเมนู

ในเมนูจะใช้วัตถุดิบสดใหม่จากแถบคันไซเป็นหลัก วัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ไก่ทาจิมะจากจังหวัดเฮียวโงะ และหัวหอมจากเกาะอาวาจิ ไม่เพียงแต่สดใหม่และอร่อยเท่านั้น แต่ยังรู้สึกวางใจได้อีกด้วย ส่วนเครื่องปรุงรสก็ใช้วัตถุดิบที่เรียบง่ายที่สุด คุณอูมาโงชิ ผู้จัดการร้านกล่าวว่า “ยกตัวอย่างเช่น เราใช้ “น้ำตาลฮงวากาโต” ที่ระดับการฟอกขาวต่ำ” “เราใช้เฉพาะเครื่องปรุงรสพื้นฐานอย่างน้ำส้มสายชู โชยุ เกลือ และพริกไทย เพื่อดึงรสชาติธรรมชาติของวัตถุดิบออกมาครับ”

ขนมหวานหลังอาหารก็น่าดึงดูดใจด้วยความเรียบง่ายตามแบบฉบับของ MUJI และหนึ่งในนั้นก็คือพุดดิ้ง ซึ่งเป็นเมนูคลาสสิกยอดนิยม และได้รับการตอบรับอย่างดีด้วยรสชาติที่นุ่มนวลซึ่งทำจากไข่ นม และน้ำตาลฮงวากาโตเท่านั้น

นอกจากจะให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบแล้ว Café&Meal MUJI ยังใส่ใจในการดำเนินการที่ลดการสูญเปล่าของวัตถุดิบอาหารอีกด้วย

คุณอูมาโงชิ ผู้จัดการร้านกล่าวว่า “ความจริงแล้วเมื่อตกปลา เราจะได้ปลาจำนวนมากที่ขายไม่ได้เพราะขนาดไม่เท่ากันหรือมีจำนวนน้อย ปลาพวกนี้มักจะถูกทิ้งไปเฉยๆ” “แต่ปลาที่เรียกกันว่า “ปลาที่ไม่ได้ใช้” ก็มีมากมายที่อร่อย และปัจจุบันเรานำปลาเหล่านี้มาเพิ่มไว้ในเมนูทั่วไปของทุกสาขาในช่วงเวลาจำกัด และดำเนินการเพื่อให้ทุกคนรู้ถึงความอร่อยของปลาเหล่านี้ เราหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยลดการสิ้นเปลืองอาหาร และช่วยให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกับการค้นพบรสชาติใหม่ๆ ครับ”

อีกทั้งในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวแอปเปิล เราจะซื้อแอปเปิลที่ไม่เหมาะสำหรับออกขายในท้องตลาดอย่างรอบคอบเนื่องจากมีตำหนิบนพื้นผิว เสียหายจากลูกเห็บ หรือเปลี่ยนสี ฯลฯ จากนั้นดัดแปลงให้ความอร่อยของแอปเปิลไม่สูญเปล่า เช่น นำมาใช้ทำขนมหวาน

Café&Meal MUJI ไม่ใช่แค่สถานที่ทานอาหาร แต่ยังเป็นสถานที่ที่คุณจะได้สัมผัสกับความมุ่งมั่นของ MUJI ที่มีต่อไลฟ์สไตล์ตั้งแต่อาหารไปจนถึงการพัฒนาพื้นที่ และการนั่งทานอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันบนโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไม้ในประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประสบการณ์ที่ผ่อนคลายและอุ่นใจในระหว่างการเดินทางในโอซาก้าของคุณอย่างแน่นอน

คุณจุน อูมาโงชิ ผู้จัดการร้าน

ห้างสรรพสินค้า : GRAND FRONT OSAKA SHOPS & RESTAURANTS
ชั้น : ชั้น 4 อาคารทิศเหนือ
เวลาทำการ : 11.00 - 21.00 น.

ค้นพบกระเป๋าหนังแสนอบอุ่นได้ที่ “MOTHERHOUSE”!

หลังอาหารกลางวัน เราไปกันที่ “MOTHERHOUSE” ที่ NU chayamachi ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นที่จำหน่ายกระเป๋า เครื่องประดับ เสื้อผ้า ฯลฯ ภายใต้ปรัชญา “สร้างแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกจากประเทศกำลังพัฒนา” 。

คุณมิยาเกะ รองผู้จัดการร้านกล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการนำวัสดุชั้นเลิศและเทคนิคของช่างฝีมือจากประเทศกำลังพัฒนามาสู่ทั่วโลก” และ “เราต้องการเป็นแบรนด์ที่ถูกเลือกเพราะดีไซน์และคุณภาพที่ดีไม่ใช่เพราะความเห็นอกเห็นใจ”

หนังส่วนใหญ่ที่ MOTHERHOUSE นำมาใช้จะผลิตโดยช่างฝีมือในบังกลาเทศ คุณมิยาเกะอธิบายว่า “หนังวัวที่เราใช้ไม่ได้มาจากวัวที่เลี้ยงไว้เพื่อผลิตหนังโดยเฉพาะ แต่มาจากผลพลอยได้จากการฆ่าวัวเพื่อนำไปบริโภคในงานเทศกาลด้านศาสนา ฯลฯ ในท้องถิ่น และนับเป็นการดำเนินการที่ไม่เกิดการสูญเปล่าครับ” อีกทั้งทางร้านยังมีผลิตภัณฑ์หนังรีไซเคิลที่ผลิตขึ้นจากการรวบรวมกระเป๋าที่ใช้แล้วมาตัดและประกอบใหม่เพื่อสร้างสรรค์ดีไซน์ใหม่ๆ ของหนังที่ใช้งานได้

นอกจากหนังแล้ว MOTHERHOUSE ยังคงขยายขอบเขตของวัสดุและแหล่งผลิตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดโกโก้จากอินโดนีเซีย ผ้าคลุมไหล่ทอมือจากเนปาล กระเป๋าผ้าไหมจากลาว ฯลฯ โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ MOTHERHOUSE ยังรังสรรค์อย่างพิถีพิถันพร้อมกับใช้เวลาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักออกแบบของแบรนด์กับช่างฝีมือในท้องถิ่น

คุณมิยาเกะกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เมื่อพูดถึงเรื่องการออกแบบ บางครั้งเราก็มีความเห็นไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงกับช่างฝีมือในท้องถิ่น แต่เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เราเติบโตไปด้วยกันครับ” “จุดดึงดูดใหญ่ที่สุดของ MOTHERHOUSE คือการที่นักออกแบบและช่างฝีมือทำงานร่วมกันอย่างเท่าเทียมแทนที่จะเป็นความสัมพันธ์แบบลำดับชั้น ผมรู้สึกภูมิใจที่สุดในความสัมพันธ์แบบเชื่อถือได้และทัศนคติที่จริงใจเหล่านี้ครับ”

ทัศนคติเหล่านี้ยังสะท้อนไปยังสภาพแวดล้อมในการทำงานอีกด้วย โดยตอนนี้มีที่ดินในบังกลาเทศแล้วและมีแผนจะสร้างโรงงานสีเขียวพร้อมสถานพยาบาลและศูนย์รับเลี้ยงเด็กในอนาคต รวมทั้งกำลังดำเนินการเพื่อให้พนักงานในท้องถิ่นสามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นผ่านระบบเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย ฯลฯ

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าที่ใช้งานได้ยาวนาน คุณมิยาเกะโชว์กระเป๋าหนังใบโปรดของตนเองและบอกว่า “ผมใช้กระเป๋าใบนี้มา 3 ปีครึ่งแล้ว แต่ถ้าดูแลอย่างเหมาะสม ลูกค้าหลายคนก็ใช้มานานกว่า 10 ปีเลยครับ” ทางร้านยังมีบริการดูแลรักษา เช่น ทำความสะอาด แก้สี และบำรุงรักษาด้วยน้ำมันเพื่อให้มั่นใจว่ากระเป๋าใบโปรดของลูกค้าจะใช้งานได้ยาวนาน

เขาสะพายกระเป๋าเป้คลาสสิกยอดนิยมของแบรนด์อย่าง “Antique Square Backpack” แต่ละใบล้วนทำด้วยมือโดยช่างฝีมือ และมีสีสันและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป และด้วยดีไซน์เรียบง่ายจึงทำให้เป็นไอเท็มอเนกประสงค์ที่เข้าได้กับทั้งชุดสูทและชุดลำลอง

คุณมิยาเกะกล่าวด้วยความมั่นใจกับเราว่า “ประเทศกำลังพัฒนามีวัสดุและเทคนิคมากมายที่น่าภูมิใจ ถ้ามีเวทีได้แสดงฝีมือ พวกเขาก็ย่อมมีพลังในการสร้างสรรค์ผลงานอันน่าทึ่งได้ครับ”

MOTHERHOUSE เป็นมากกว่าแบรนด์แฟชั่น แต่เป็นสะพานเชื่อม “การออกแบบ” “ผู้คน” และ “สถานที่” ดังนั้นถ้าคุณมีโอกาสได้มาโอซาก้า อย่าลืมแวะมาที่ร้านนี้ เรารับรองว่าคุณจะได้พบกับกระเป๋าที่เหมาะกับคุณและเรื่องราวอันแสนอบอุ่นใจที่นี่อย่างแน่นอน

คุณจุน มิยาเกะ รองผู้จัดการร้าน

ห้างสรรพสินค้า : NU chayamachi
ชั้น : ชั้น 1
เวลาทำการ : 11.00 - 21.00 น.

เลือกสิ่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านสไตล์การแต่งตัวในชีวิตประจำวันที่ “UNITED ARROWS green label relaxing”!

ถัดมาเราได้ไปที่ “UNITED ARROWS green label relaxing” ซึ่งตั้งอยู่ชั้น B1 อาคารทิศใต้ของ HANKYU SANBAN GAI แบรนด์ยอดนิยมที่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เรียบง่าย ราคาไม่แพง และประณีตนี้ความจริงแล้วส่งเสริมตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันอย่างแนบเนียน

คุณชิมิซึ ผู้จัดการร้านเล่าว่า “เราอยากให้ลูกค้าชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของเราทั้งในด้านดีไซน์และความสะดวกสบาย และหวังว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่การลงมือทำสิ่งดีๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัวครับ” หนึ่งในการดำเนินการของแบรนด์คือระบบที่ลูกค้าที่ไม่รับถุงที่เคาน์เตอร์จะได้รับไมล์สะสม 500 ไมล์ และแบรนด์จะบริจาคเงิน 10 เยนให้กับองค์กรอนุรักษ์ป่าไม้ในนามของลูกค้า เขายังกล่าวอีกว่า “นี่เป็นรูปแบบการเข้าร่วมโดยตรงที่สุดที่เราสามารถทำได้ และหวังว่าการสั่งสมตัวเลือกเล็กๆ น้อยๆ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความตระหนักรู้ครับ”

นอกจากนี้ใน “Green Down Project” ยังดำเนินการแยกส่วน ทำความสะอาด ชำระล้าง หรือรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ขนเป็ดที่รวบรวมกลับคืนมาให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณชิมิซึกล่าวว่า “ผมมีส่วนร่วมในโครงการมาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาทำงานกับบริษัท และดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ผมดำเนินงานมาตลอดก่อนที่ประเด็นเรื่องความยั่งยืนจะกลายเป็นที่สนใจครับ”

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ แบรนด์ยังมุ่งมั่นในการนำวัสดุที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมาใช้อย่างแข็งขัน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลและผ้าฝ้ายออร์แกนิกจะมีวางจำหน่ายในร้านเป็นระยะๆ โดยคุณชิมิซึกล่าวว่า “ตอนนี้สัดส่วนยังไม่มากครับ แต่เรายังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อยอย่างต่อเนื่องทุกปี ยกตัวอย่างเช่น เสื้อยืดลายสัตว์ทะเลที่เราเคยจำหน่ายก่อนหน้านี้ซึ่งทำจากผ้าฝ้ายออร์แกนิก 100% ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าจำนวนมากครับ”

การดำเนินการทั้งหมดนี้ถูกผสานรวมภายใต้ชื่อกิจกรรมว่า “SARROWS” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างคำว่า “Sustainability” และชื่อแบรนด์ “Arrows” โดยเป้าหมายคือการเคลื่อนไหวที่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียว ซึ่งไม่เพียงแต่แบรนด์เท่านั้น แต่ลูกค้าก็สามารถมีส่วนร่วมในความยั่งยืนได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ถ้าคุณกำลังมองหาเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและออกแบบมาอย่างดีสำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวัน อย่าลืมแวะมาที่ UNITED ARROWS green label relaxing และการเลือกเสื้อผ้าตัวโปรดของคุณดังกล่าว อาจช่วยสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมโดยไม่คาดคิด

คุณชูเฮ ชิมิซึ ผู้จัดการร้าน

ห้างสรรพสินค้า : HANKYU SANBAN GAI
ชั้น : ชั้น B1 อาคารทิศใต้
เวลาทำการ : 10.00 - 21.00 น.

เพลิดเพลินกับขนมหวานโฮมเมดที่อ่อนโยนต่อร่างกายและโลกได้ที่ “LOVE TABLE”!

ร้านสุดท้ายที่เราไปคือ “LOVE TABLE” ร้านอาหารและคาเฟ่ออร์แกนิกธรรมชาติที่ตั้งอยู่บนชั้น B2 ของ HERBIS PLAZA โดยบรรยากาศอันอบอุ่นของร้านจะทำให้คุณอยากพูดว่า “ฉันกลับมาแล้ว” และอยากกลับมาอีกครั้ง

ร้านที่ให้ความสำคัญกับการเกษตรธรรมชาติ วัตถุดิบออร์แกนิก และ “การเคารพชีวิต” แห่งนี้ คุณโยโกะ ไทระ เจ้าของร้าน ซึ่งทำงานเป็นนักวิจัยด้านการศึกษาอาหารและนักวาดภาพได้สร้างสรรค์ “สถานที่สำหรับส่งมอบความรัก” ที่ก้าวข้ามพรมแดนและยุคสมัยโดยการสนับสนุนการก่อสร้างโรงเรียนในกัมพูชา สนับสนุนกิจกรรมทางการแพทย์ในแอฟริกา และการปฏิสัมพันธ์กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในญี่ปุ่น ฯลฯ

คุณไทระกล่าวว่า “ฉันเปิดตัวแบรนด์นี้เพื่อเด็กๆ ในอีก 500 ปีข้างหน้าค่ะ” เธอเรียนรู้จากภูมิปัญญาของชนพื้นเมืองอเมริกัน และกล่าวอีกว่า “การดำเนินการของเราจะส่งผลสะเทือนไปถึง 7 ชั่วอายุคนค่ะ และแม้แต่การตัดต้นไม้เพียงต้นเดียวแต่อาจสั่นสะเทือนระบบนิเวศในอีก 500 ปีข้างหน้า” LOVE TABLE ก่อตั้งขึ้นเพื่อก้าวข้ามความยั่งยืนในระยะสั้น สร้าง “รากฐานสำหรับโครงสร้างสังคมแบบหมุนเวียนที่ยั่งยืน” และเชื่อมโยงไปสู่อนาคต

การนำปรัชญาไปปฏิบัติจริงจะเริ่มต้นจากการเกษตร ที่ฟาร์มของบริษัทตนเองอย่าง “อางาราโตะ” ในโคซางาวะ จังหวัดวากายามะได้มีการปลูกกุหลาบที่ทานได้ ข้าว และผักโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงจากการใช้วิธีเกษตรกรรมธรรมชาติจากพืชที่ไม่ใช้ปุ๋ยสัตว์ และเกษตรกรในท้องถิ่นที่มีความรู้สึกร่วมในแนวคิดดังกล่าวก็เข้าร่วมด้วย รวมทั้งวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวได้จะถูกนำไปเสิร์ฟเป็นอาหารของ LOVE TABLE และจัดส่งให้กับ “มัมมะ” ซึ่งเป็นสถานที่ทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนรูปแบบธรรมชาติที่ทางกลุ่มดำเนินการเช่นกัน อีกทั้งยอดขายส่วนหนึ่งจะนำกลับคืนให้กับชุมชนท้องถิ่น และช่วยในการสร้างท้องถิ่นที่ยั่งยืน ฟาร์ม (อางาราโตะ) ผู้ส่งมอบ (LOVE TABLE) และผู้ทานอาหาร (ลูกค้า) ได้บ่มเพาะ “วัฏจักรชีวิต” ที่ดำเนินต่อไปร่วมกันในอนาคตในทุกๆ วัน

อาหารทั้งหมดทำด้วยมือโดยใช้สูตรออริจินัล ข้าวจะตากแดดตามธรรมชาติ และข้าวสาลีจะใช้ข้าวสาลีฮอกไกโดและใช้ข้าวบาร์เลย์สีน้ำตาลที่ปราศจากยาฆ่าแมลงจากจังหวัดชิงะ เครื่องปรุงรสจะประกอบด้วยเกลือและน้ำตาลที่ไม่ผ่านการฟอกขาว รวมถึงมิโซะและโชยุที่หมักแบบธรรมชาติ ไข่และเนื้อสัตว์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีสุขภาพดีโดยไม่พึ่งพาสารฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะ ในครัวอาหารทุกจานได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถันราวกับได้พูดคุยกับวัตถุดิบทั้งหมด สิ่งสำคัญคือ “ทุกสิ่งที่เราใช้ในร้านจะไม่ใช่แค่การทานอาหารและการปรุงอาหาร แต่ต้องอ่อนโยนต่อร่างกายและโลกด้วย”

ในจำนวนนั้นขนมหวานยอดนิยม ได้แก่ “เจลาโตวีแกนข้าวกล้อง” และพาร์เฟต์ “Rose de SHINGO” ที่ใช้แยมกุหลาบ พาร์เฟต์ที่ทำจากเจลาโตปริมาณมากที่ใช้ประโยชน์จากความเหนียวและกลิ่นหอมของข้าวกล้องนี้ให้รสชาติกลมกล่อมและเข้มข้นราวกับรสชาติของผืนดินที่ติดค้างอยู่ในปาก

ถ้าคุณแวะมาทานมื้อเย็น อย่าลืมลอง “ผักตามฤดูกาลอบในเตา” จำกัดเฉพาะมื้อเย็นที่คุณไทระแนะนำนี้ ผักจะถูกอบรวดเดียวในเตาที่อุณหภูมิ 500 องศาจึงทำให้ได้รสชาติที่หวานและสดชื่นจนคุณต้องแปลกใจ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่น่าประทับใจที่คุณสัมผัสได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างเต็มที่

“การกินคือการมีชีวิต การมีชีวิตอยู่คือการมีความรัก ฉันคงจะมีความสุขมากถ้ามี LOVE TABLE อยู่ตรงกลางของทั้งสองสิ่งนี้ค่ะ”
ขณะที่คุณไทระกล่าวคำสุดท้ายข้างต้น ความอบอุ่นดุจบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิก็โอบล้อมพื้นที่นี้อย่างแผ่วเบา

สิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริงในยุคสมัยนี้คืออะไร สถานที่ที่เปรียบเสมือนดอกซากุระที่เบ่งบานอย่างเงียบเชียบที่ปลายทางของคำถามดังกล่าว
นั่นก็คือ “LOVE TABLE”

ตลอดการสัมภาษณ์ ความเชื่อมั่นและความกระตือรือร้นอันแรงกล้าของคุณไทระในเรื่อง “การบ่มเพาะอนาคตผ่านอาหาร” ได้ถูกถ่ายทอดอย่างชัดเจน และทำไมคุณไม่ลองมาแวะมาที่นี่เพื่อลิ้มลองอาหารที่เปี่ยมไปด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ดูล่ะ

คุณโยโกะ ไทระ ประธานบริษัทและซีอีโอ

ห้างสรรพสินค้า : HERBIS PLAZA
ชั้น : ชั้น B2
"เวลาทำการ : 11.00 - 22.00 น.
มื้อกลางวัน 11.00 - 15.00 น. (ออเดอร์สุดท้ายเวลา 15.00)
คาเฟ่ 11.00 - 22.00 น.
มื้อเย็น 17.00 - 22.00 น. (อาหาร ออเดอร์สุดท้ายเวลา 21.00 น. / เครื่องดื่ม ออเดอร์สุดท้ายเวลา 21.30 น.)"

ตั้งแต่เดินเล่น ช็อปปิง ไปจนถึงเพลิดเพลินกับขนมหวานนี้ โอซาก้าจะช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างง่ายดาย ถ้าคุณอยากสนับสนุนการดำเนินการที่มีแนวคิดและการออกแบบที่ดีเยี่ยม โปรดอย่าลืมแวะมาด้วยตัวเอง และมาร่วมสัมผัสความใจดีและความอบอุ่นของย่านนี้กัน!

มีเคาน์เตอร์ยกเว้นภาษีที่ HANKYU SANBAN GAI และ HEP FIVE
・HANKYU SANBAN GAI : ชั้น 1 อาคารทิศใต้ (10.30 - 21.30 น.)
แนะนำข้อมูลเคาน์เตอร์ยกเว้นภาษี
・HEP FIVE : ชั้น B1 (11.00 - 21.00 น.)
แนะนำข้อมูลเคาน์เตอร์ยกเว้นภาษี

ร้านบางส่วนมีการดำเนินการขอยกเว้นภาษีแยกต่างหาก
โปรดติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่แต่ละร้านโดยตรง

โปรดดูรายละเอียดของวิธีการเดินทางไปยังอุเมดะได้ที่นี่

สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับอุเมดะ คุณสามารถดูตัวอย่างแผนเที่ยวที่เรานำเสนอไว้ได้

*รายละเอียดของบทความนี้เป็นข้อมูลในช่วงวันที่ที่ระบุไว้ จึงอาจมีกรณีที่รายละเอียดของสินค้าและบริการ ฯลฯ เปลี่ยนแปลงไปหรือร้านค้าปิดทำการ

คูปอง

คูปองร่วม

ลด 500 เยน

สามารถใช้ได้ที่ห้างสรรพสินค้า 7 แห่ง ดังนี้ :
GRAND GREEN OSAKA SHOPS & RESTAURANTS, GRAND FRONT OSAKA SHOPS & RESTAURANTS,
HANKYU SANBAN GAI, HEP FIVE, HERBIS PLAZA/PLAZA ENT, NU chayamachi / NU chayamachi PLUS
and Diamor Osaka

ดูตัวอย่างแผนเที่ยวเพิ่มเติม